ก่อนบวชหลวงพี่ก็เป็นเด็กทั่วๆไปที่อยู่ในสังคมที่ต้องแข่งขัน มีความใฝ่สูง
แต่ก็เป็นความใฝ่สูงในทางที่ดี
เคยมีความคิดว่าอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
เพื่อจะได้ช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง
เนื่องจากโยมพ่อโยมแม่ส่งให้เรียนในโรงเรียนประจำ
ตั้งแต่ ป.1ถึง ม.6 (รร.ขอนแก่นวิทยายน)
และมีโอกาสเรียนอยู่ในห้องเรียนห้อง king มาตลอด ผลการเรียนค่อนข้างดี
มักจะสอบได้เป็นลำดับที่ต้นๆของโรงเรียน
รู้สึกว่าเราจะต้องเป็นที่ 1
รู้สึกว่าเราต้องแข่งขันตลอดเวลา ตอนนั้นก็คิดเหมือนคนทั่วๆไปว่า
เรียนจบแล้วจะต้องเป็นหมอบ้าง เป็นนายพลทหาร นายพลตำรวจบ้าง
จะต้องอยู่ในจุดที่สูงสุดของสังคมเพื่อสร้างเกียรติประวัติให้กับครอบครัวและวงศ์ตระกูล
อะไรทำให้หลวงพี่สนใจศึกษาธรรมะ/พระพุทธศาสนาคะ ?
ตอนเรียนอยู่ชั้น ป.5 มีพระอาจารย์ชื่อพระครูสมุห์ธีรวัฒน์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน
(เป็นศูนย์สาขาวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
ได้มาสอนการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ที่โรงเรียน พอได้เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ในตอนนั้นก็รู้สึกว่า ใจมันสบาย มันมีความสุข
เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากจะไปไปปฏิบัติธรรมต่อ
เลยให้พ่อกับแม่
พาไปที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน และอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั้น
พอไปครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจในบรรยากาศและสถานที่ที่สงบ
และแนวทางการปฏิบัติที่เคร่งครัด
ทำให้เกิดติดใจ และไปปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง
ตามช่วงเวลาที่ว่างและมีโอกาส
อย่างสม่ำเสมอ
พอได้มีโอกาสได้มาเจอธรรมะ
ซึ่งก็จะเน้นไปทางการปฏิบัติ
ก็รู้สึกว่า
ชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้น จากเป็นคนพูดจาไม่เพราะก็พูดเพราะ
จากเป็นเด็กขี้เกียจก็ขยันมากขึ้น จากเป็นคนใจร้อนก็เป็นคนใจเย็นขึ้น
จากเป็นคนคิดมากก็เป็นคนไม่คิดมาก จากเป็นเด็กที่เคยเรียนซ้ำชั้น
ก็กลายเป็นเด็กที่สอบได้ที่ 1
ของชั้นเรียน และที่ 1 ของโรงเรียนในเวลาต่อมา
อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการอุปสมบทของหลวงพี่คะ ?
มีความรู้สึกว่าตลอดที่เราได้ใช้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กจนโต
เหมือนเราจะมีความสุขและมีความภูมิใจกับความสำเร็จในสิ่งต่างๆมากมาย
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องครอบครัว
หรือเรื่องของความรักแบบคนหนุ่มสาวทั่วไป
แต่ความสุขและความสำเร็จที่กล่าวมานั้น
มันเป็นความสุขและความสำเร็จที่เรารู้สึกว่ามันยังไม่ยั่งยืน
เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ ไม่มีความมั่นคงแน่นอน
จนกระทั่งได้มีโอกาสมาบวชและศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
ในโครงการอุปสมบทหมู่ ภาคฤดูร้อน รุ่นที่ 32 ที่วัดพระธรรมกาย
ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมะจากพระอาจารย์
ได้อ่านและศึกษาตำราทางพระพุทธศาสนามากมาย
และได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
ทำให้เราเข้าใจและซาบซึ้งว่า ...
ชีวิตที่มีความสุขที่แท้จริงคือชีวิตสมณะ
เพราะเป็นชีวิตที่เรียบง่าย มั่นคง มีความแน่นอน
รู้สึกว่าเป็นชีวิตที่มีความสุขที่จีรังยั่งยืน
หลวงพี่มีความตั้งใจอย่างไร ในการดำรงเพศสมณะคะ ?
ก็อยากจะบวชเพื่อขัดเขลากิเลสให้หลุดพ้นไป
อยากบวชเพื่ออุทิศชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา
บวชเพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่และผู้มีพระคุณ
บวชเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน
บวชเพื่อช่วยนำศีลธรรมมาสั่งสอนให้กับญาติโยม
อยากให้เขาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข
และดำเนินชีวิตไปในทางที่ไม่ผิดพลาด
จะได้ไม่ต้องทุกข์และเสียใจอีก
อยากให้หลวงพี่เล่าถึง...ภาระกิจหน้าที่ของพระ คือ อย่างไรค่ะ ?
พระก็มีหน้าที่อยู่ 2 ภารกิจใหญ่ๆ คือ
1.ทำประโยชน์ตน และ
2.ทำประโยชน์ท่าน
ประโยชน์ตน ก็คือ การตั้งใจที่จะทำเพื่อตัวเอง
คือการหมั่นปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา
เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากกองทุกข์
ประโยชน์ท่าน ก็คือ การช่วยเผยแผ่ธรรมะ
ช่วยเหลือสังคม
ให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และอยู่ได้ด้วยธรรมะ
ในทัศนะของหลวงพี่, พระพุทธศาสนา
ในสังคมไทย/สังคมโลกปัจจุบันเป็นอย่างไรคะ ?
หลวงพี่มีความคิดเห็นว่า
คนไทยในปัจจุบันโดยส่วนใหญ่
ยังไม่ได้เข้ามาศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
บวชก็บวชแค่ 7 วันบ้าง 14 วันบ้าง
ซึ่งถือว่าน้อยมากกับการที่จะได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนที่มีอีกมากมาย
จึงทำให้ห่างเหินจากศาสนาพุทธไปมาก
คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธแต่เพียงในทะเบียนบ้าน
เพราะดูจากภาพข่าว
หรือแนวคิดตามสื่อสังคมออนไลน์
การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ก็พอจะทำให้รู้และเข้าใจว่า
เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยใช้อารมณ์หรือความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่
หรือแม้แต่หลักในการตัดสินใจก็ใช้หลักของความคิดตัวเองเป็นหลักในการตัดสินความถูกผิด
ทั้งที่จริงๆควรจะตัดสินตามหลักศีลธรรม
แม้แต่การอยู่ร่วมกัน การปฏิบัติต่อกัน
ระหว่างพระกับคนในสังคมปัจจุบัน
ก็ผิดแปลกไปเมื่อเทียบกับสังคมในอดีตที่หลวงพี่ได้เคยสัมผัสและได้เห็น
ในสมัยที่หลวงพี่ยังเด็กๆ ถ้าเห็นพระ ทุกคนจะให้เกียรติและให้ความเคารพกับพระมากๆ
บางคนถึงกับนั่งคุกเข่ากับพื้น เพื่อแสดงความเคารพและต้อนรับพระ
แต่ในปัจจุบันสังคมค่อนข้างจะให้ความเคารพน้อยลง
และมีแนวทางปฏิบัติต่อพระสงฆ์ยังไม่ค่อยจะถูกต้องและเหมาะสมนัก
หลวงพี่คิดว่า พระพุทธศาสนา/พระภิกษุ
มีความจำเป็นในการปรับตัว
เพื่อยังประโยชน์ตน
และยังประโยชน์ส่วนรวม อย่างไรไหมคะ ?
หลวงพี่คิดว่าพระพุทธศาสนา/พระภิกษุ
มีความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อประโยชน์ตน
และประโยชน์ส่วนรวม
เพื่อให้ทันกับยุคสังคมปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
โดยจะต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนเรียนรู้ให้ทันกับสังคมที่เปลี่ยนไป
สิ่งที่ควรปรับเปลี่ยน คือ รูปแบบ วิธีการและแนวทางในการเผยแผ่ธรรมะ
ที่จะต้องตามโลกให้ทัน เพราะสังคมปัจจุบันเจริญขึ้นมาก
โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร
จนทำให้ใจไปเกาะเกี่ยว
หรือให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุมากกว่าจิตใจ
เราเป็นพระจึงต้องมีหน้าที่ไปดึงพวกเขากลับมาให้ความสำคัญ
กับเรื่องของจิตใจมากขึ้น
โดยใช้รูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมกับคนในยุคปัจจุบัน
จึงจะดึงเขากลับมาได้ ถ้าไม่ใช้วิธีนี้เขาก็จะไม่สนใจ
พอยิ่งไม่สนใจ เขาก็ไม่ปฏิบัติ
ก็ยิ่งจะทำให้สังคมแย่ลงเรื่อยๆ เพราะคนขาดศีลธรรม
แต่ในขณะที่พระต้องปรับตัวไปให้ทันกับสังคม
พระภิกษุเองก็ต้องฝึกตัว
และปฏิบัติตนตามวิถีชีวิตที่ถูกต้องตามหลักพระวินัยอย่างเคร่งครัด
กล่าวง่ายๆคือ หลังต้องอิงต้นโพธิ์
ต้องปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา
ทำหน้าที่ที่แท้จริงของการออกบวชควบคู่กันไปด้วย
โลก ณ วันนี้
เป็นโลกแห่งเทคโนโลยีในทุกด้าน หลวงพี่คิดว่า
พระพุทธศาสนา
ควรนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้เพื่องานสอนศีลธรรม
หรือไม่/อย่างไร ไหมคะ ?
หลวงพี่คิดว่า
พระมีความจำเป็นที่จะต้องนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้
เพื่อสอนศีลธรรม
เพราะการที่จะพูดกับคนยุคใหม่ก็ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็สื่อสารกันไม่เข้าใจ
เหมือนเราจะไปประเทศเยอรมัน
ถ้าหากเราไม่ฝึกพูดภาษาเยอรมัน
เราก็คุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
หรือจะให้เขาหัดพูดภาษาของเราก็คงเป็นไปได้ยาก
ฉันใดก็ฉันนั้น
การจะสอนศีลธรรมก็เช่นกัน
ก็ต้องสอนด้วยวิธีการที่คนในยุคปัจจุบันเขาสื่อสารกันเข้าใจ
ถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง จะรอให้เขามาเข้าวัดมาคุยกับเรา
คุยภาษาแบบพระก็คงเป็นไปได้ยาก
ยิ่งเป็นเด็กวัยรุ่นยุคนี้แทบจะไม่สนใจพระพุทธศาสนาเลย
มีสมาธิสั้น
ปฏิบัติตัวกับพระก็ยังไม่ค่อยจะถูก
ส่วนการที่อาจจะถูกมองว่า พระใช้คอมฯ
ใช้โทรศัพท์ ดูเป็นการไม่เหมาะสม ไม่สมถะ
หลวงพี่คิดว่าการจะมองว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
ไม่ควรตัดสินที่ความรู้สึกหรือกระแสของสังคม ต้องตัดสินจากพื้นฐานความจริงที่ว่า...
สิ่งที่ทำนั้น มันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษอะไรหรือไม่อย่างไร
ถ้าหากพระใช้คอมฯ
ใช้โทรศัพท์แล้วทำให้เป็นโทษแก่ตัวพระภิกษุเองและเกิดโทษต่อสังคม
อันนี้ก็ตัดสินได้เลยว่าไม่เหมาะสม
แต่ถ้าหากพระใช้คอมฯ
ใช้โทรศัพท์แล้วไม่ทำให้เกิดโทษแก่ตัวพระภิกษุเอง
และยังสามารถสร้างประโยชน์ในการเผยแผ่ธรรมะแก่สังคม
ซึ่งเป็นหน้าที่หรือภารกิจของพระภิกษุที่พึงกระทำ เพื่อจะได้ไม่เป็นหนี้แก่ญาติโยม
ก็ไม่ควรตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งสังคมจะต้องแยกแยะและมองประเด็นตรงนี้ให้ออก
ชีวิตในยุคบริโภคนิยม
ผู้คนหันไปให้ค่านิยมทางวัตถุ ละเลยจิตใจ
เมื่อชีวิตเป็นทุกข์ ก็หาทางออกไม่ถูก
เป็นผลทำให้หลงทำผิด
หลวงพี่มีทัศนะอย่างไร
กับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันในสภาวะดังกล่าวคะ ?
หลวงพี่มีคำแนะนำอย่างไรไหมคะ?
คิดว่าเป็นเรื่องปกตินะ
ก่อนมาบวชหลวงพี่ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
ใช้ชีวิตและมีวิถีชีวิตที่มุ่งเน้นไปทางสังคมวัตถุมากกว่าจิตใจ
แต่โชคดีที่ได้มาเจอพระพุทธศาสนา ได้มาศึกษาถึงแก่นแท้จริงๆ และพอศึกษาแล้ว
ก็นำเอาหลักธรรมไปปฏิบัติด้วย ก็เลยทำให้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น
ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
หลวงพี่คิดว่าถ้าหากคนในยุคปัจจุบันหันกลับมาสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น
เข้ามาศึกษาและปฏิบัติตามหลักศีลธรรมจริงๆ ปัญหาในชีวิตต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น
ต่อให้เกิดขึ้น ก็สามารถทำใจยอมรับ
และสามารถหาทางออกและแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและถูกทาง
คงถึงเวลาแล้วมั้งที่ทั้งคนและพระภิกษุต้องปรับตัวเข้าหากัน
เพื่อจะได้ทันยุคทันสมัย ทันสังคม
โดยความเจริญทั้งด้านวัตถุและจิตใจต้องเจริญไปควบคู่กัน
จะให้ค่านิยมทางวัตถุเจริญนำจิตใจไม่ได้
ซึ่งเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน
ต้องเอาหลักธรรมและศีลธรรมมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตให้ได้
กราบขอบพระคุณ : พระมนต์ธร สิริธโร
------------------------
23 ธันวาคม 2559
บันทึกบทสนทนา โดย บัว อรุโณทัย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น