สวัสดีค่ะ,
วันนี้ เรามีโอกาส ได้สนทนากับ พระอาจารย์ฐานวีโร ค่ะ
( ขออนุญาตเรียกพระอาจารย์, ประสาพี่น้องญาติโยมว่า...หลวงพี่ นะคะ)
หลวงพี่ชื่อว่า... พระมหาธีรพงษ์ ฐานวีโร
หลวงพี่ศึกษาจบนักธรรมเอก, เปรียญธรรม 6 ประโยค,
ดำรงสมณะเพศมาถึงวันนี้พรรษา 10 แล้วค่ะ
ก่อนมาบวช, หลวงพี่ท่าน สำเร็จการศึกษาจาก คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ค่ะ
ไปสนทนากับหลวงพี่กันค่ะ ... ^^
#หลวงพี่, ก่อนบวชหลวงพี่มีแนวคิด และใช้ชีวิตอย่างไรคะ ?
วันนี้ เรามีโอกาส ได้สนทนากับ พระอาจารย์ฐานวีโร ค่ะ
( ขออนุญาตเรียกพระอาจารย์, ประสาพี่น้องญาติโยมว่า...หลวงพี่ นะคะ)
หลวงพี่ชื่อว่า... พระมหาธีรพงษ์ ฐานวีโร
หลวงพี่ศึกษาจบนักธรรมเอก, เปรียญธรรม 6 ประโยค,
ดำรงสมณะเพศมาถึงวันนี้พรรษา 10 แล้วค่ะ
ก่อนมาบวช, หลวงพี่ท่าน สำเร็จการศึกษาจาก คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ค่ะ
ไปสนทนากับหลวงพี่กันค่ะ ... ^^
#หลวงพี่, ก่อนบวชหลวงพี่มีแนวคิด และใช้ชีวิตอย่างไรคะ ?
ก่อนบวช หลวงพี่ก็ใช้ชีวิตอย่างนักศึกษาทั่วไป เรียนหนังสือ ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ฯลฯ
หลวงพี่คิดว่า คนเราน่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ก็ต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
และก็ควรที่จะทำคุณงามความดีเท่าที่ตนเองพอทำได้ตามโอกาสอันสมควร
#อะไรทำให้หลวงพี่สนใจศึกษาธรรมะ/พระพุทธศาสนา คะ ?
หลวงพี่เข้าใจว่า มาจากสาเหตุ ๓ ประการ
๑. โยมพ่อโยมแม่ของหลวงพี่ชอบไปวัดทำบุญ โยมพ่อจะชอบนั่งสมาธิมาก
ที่บ้านหลวงพี่จะตักบาตรทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน
เมื่อถึงคราวเทศกาลงานบุญต่าง ๆ ก็จะไปทำบุญกันตลอด
ทำให้หลวงพี่มีความคุ้นเคยกับพระ กับวัดมาตั้งแต่เด็ก
๒. ในช่วงที่เรียนชั้นมัธยม หลวงพี่ได้มีโอกาสศึกษาธรรมศึกษา
ที่เขาให้นักเรียนสอบกันนั่นแหละ เรียนชั้นเอก จบตอน ม. ๓
และได้เข้าร่วมโครงการตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า
ซึ่งทำให้หลวงพี่ได้มีโอกาสศึกษาหลักธรรมมงคลสูตร ๓๘ ประการ
นอกจากนี้ก็ยังได้มีโอกาสอยู่ชมรมกิจกรรมพระพุทธศาสนาตอนเรียน ม. ๒
โยมอาจารย์ก็จะปลูกฝังการสวดมนต์ทำวัตร
ซึ่งที่โรงเรียนก็จะมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้าเวลา ๐๗.๓๐ น.
ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ และสวดมนต์ทำวัตรเย็นในคาบกิจกรรมของแต่ละระดับชั้น
เมื่อมาเรียนมหาวิทยาลัย
ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมพุทธศาสน์ของมหาวิทยาลัย
ทำให้ได้มีโอกาสสวดมนต์ นั่งสมาธิ ได้มีโอกาสทำบุญตักบาตร
ถวายสังฆทาน ปล่อยปลา ฯลฯ ที่ทางชมรมจัด
และที่สำคัญในห้องชมรมก็จะมีตู้พระไตรปิฎก มีหนังสือธรรมะค่อนข้างมาก
ก็จะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หลวงพี่มักจะมานั่งเล่น
ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย
๓. จากการอ่านหนังสือในหอสมุดฯ แบบดะไปทั่วของหลวงพี่
ก็ทำให้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
ซึ่งก็อ่านดะอีกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนิทานชาดก
บทเทศน์สอนของหลวงปู่ หลวงตาหลาย ๆ รูป
ไปจนถึงนิยายอิงพุทธศาสนาของ อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ อ.แสง จันทร์งาม อ.วศิน อินทสระ ฯลฯ
ก็มีส่วนทำให้หลวงพี่เริ่มสนใจศึกษาธรรมะ
#อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการบวชของหลวงพี่?
และ หลวงพี่มีความตั้งใจอย่างไร ในการเป็นพระภิกษุ คะ?
และ หลวงพี่มีความตั้งใจอย่างไร ในการเป็นพระภิกษุ คะ?
ที่หลวงพี่ตัดสินใจบวช ก็เพราะอยากจะทดแทนพระคุณของโยมพ่อโยมแม่ และผู้มีพระคุณ
บวกกับความตั้งใจที่อยากจะศึกษาธรรมะให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
มีความคิดว่า เรายอมเสียเวลากับการเรียนทางโลกมาเป็น ๑๐ – ๒๐ ปี
กว่าจะจบปริญญาตรี ถ้าจะเสียเวลากับการศึกษาธรรมะบ้าง ก็จะเป็นไรไป
เมื่อบวชเป็นพระแล้ว หลวงพี่ก็มีเพียงความตั้งใจที่จะทำให้ได้ตามเจตนาข้างต้นนั่นเอง
# ขอความกรุณาหลวงพี่เล่าถึงความเป็นพระ
ภาระกิจหน้าที่ของพระ คือ อย่างไร ในทัศนะของหลวงพี่ ?
ภาระกิจหน้าที่ของพระ คือ อย่างไร ในทัศนะของหลวงพี่ ?
หลวงพี่คิดว่า ภารกิจหน้าที่ของพระมี ๒ อย่าง ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนกันมา
คือ บำเพ็ญประโยชน์ตน (ประโยชน์ส่วนตัว) และประโยชน์ท่าน (ประโยชน์ส่วนรวม)
บำเพ็ญประโยชน์ตน ก็คือ
การฝึกฝนอบรมตนเองตามหลักพระธรรมวินัย เพื่อขัดเกลากิเลสในใจให้ลดลง
จนกระทั่งหมดกิเลสในที่สุด ผ่านการศึกษาพระปริยัติธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
และการปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา
ในแต่ละวันของชีวิตพระ ก็จะมีเวลาสำหรับการศึกษาธรรมะ
เช่น นักธรรม บาลี หรืออ่านพระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ ฯลฯ
และเวลาสำหรับการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ เจริญภาวนา
บำเพ็ญประโยชน์ท่าน ก็คือ
การนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ศึกษามา
ตลอดจนหลักปฏิบัติในการฝึกอบรมจิตใจที่ได้จากการฝึกจิต เจริญภาวนา
มาแนะนำสั่งสอนญาติโยม ให้ได้นำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ให้พวกเขามีหลัก มีมุมมองในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ในมุมมองหลวงพี่ สิ่งนี้ก็คือการตอบแทนคุณข้าวปลาอาหาร
ตลอดจนปัจจัย ๔ ต่าง ๆ ที่ญาติโยมได้นำมาถวายแด่พระสงฆ์นั่นเอง
หลวงพ่อธัมมชโยท่านสอนว่า ในเมื่อญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา
เกื้อกูลพระเณรด้วยโลกิยทรัพย์ คือ ด้วยปัจจัย ๔
ฝ่ายพระภิกษุ สามเณร ก็เกื้อกูลตอบด้วยอริยทรัพย์ คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ถ้าทำได้อย่างนี้ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
สำหรับตัวหลวงพี่เอง ก็ได้มีโอกาสทำภารกิจหน้าที่ของพระในส่วนนี้
ด้วยการเทศน์สอนนักเรียน ครูอาจารย์ ตามสถานศึกษาต่าง ๆ หรือในช่วงปิดภาคเรียน
ก็มีโอกาสช่วยงานอบรมโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนในต่างจังหวัด
#ในทัศนะของหลวงพี่, พระพุทธศาสนา ในสังคมปัจจุบัน เป็นอย่างไร คะ?
หลวงพี่คิดว่า ในสังคมปัจจุบัน พระพุทธศาสนาถูกมองใน ๒ บทบาท คือ
เป็นสถาบันที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นสถาบันสอนศีลธรรม
คนบางกลุ่มมองพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันยึดเหนี่ยวจิตใจ
คนกลุ่มนี้ก็จะไปวัดทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อความสบายใจ ฯลฯ
ซึ่งในบางครั้ง ก็กลายเป็นการสะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ทำบุญขอโชคลาภต่าง ๆ ไป
คนกลุ่มนี้แม้จะมีความเคารพนับถือพระสงฆ์ มีทัศนคติเชิงบวกกับพระ กับวัด
แต่ก็ไม่ค่อยสนใจที่จะศึกษาหลักธรรมคำสอน
ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาเท่าที่ควร
นอกจากนี้แล้ว อาจกลับกลายเป็นความเชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผลตามที่ปรากฏเป็นข่าวทั่วไป
หลวงพี่คิดว่า พระพุทธศาสนาในบทบาทนี้แหละ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ที่ยอมรับในวิทยาศาสตร์
ไม่เชื่อสิ่งงมงาย เริ่มไม่สนใจพระพุทธศาสนา
เพราะมีความเข้าใจ หรือมีมุมมองต่อพระพุทธศาสนาเพียงแค่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ซึ่งในปัจจุบัน พวกเขาสามารถหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นแนว life coaching ที่เน้นปลุกเร้าพลัง ให้กำลังใจต่าง ๆ
หรือแนว family relation ที่ให้ความสำคัญกับความสุขในครอบครัว ฯลฯ
ไม่นับรวมพวกอบายมุขต่าง ๆ ที่พวกเขาไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องไปหาพระ หาวัดมาเป็นที่พึ่งทางใจ
คนบางกลุ่มมองพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันสอนศีลธรรม
คนกลุ่มนี้ก็จะสนใจศึกษาคำสอน สนใจการปฏิบัติธรรมมากกว่ากลุ่มแรก
พวกเขาจะมีแนวคิดคล้าย ๆ เวลาที่เราเลือกโรงเรียนให้ลูกหลานเรียน
ใครชอบการเรียนการสอนแบบไหน ก็เลือกเรียนกันไป
ในมุมมองนี้ วัดก็คือโรงเรียน พระก็คือครูสอนศีลธรรมนั่นเอง
คนกลุ่มนี้ก็จะให้ความเคารพพระเสมือนกับเป็นครูบาอาจารย์
ซึ่งหากมีพระทำผิดพระธรรมวินัย พวกเขาก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์
เหมือนกับพวกนักเรียนประท้วงครูบาอาจารย์ที่ทำความผิดนั่นเอง
หลวงพี่คิดว่า พระพุทธศาสนาในบทบาทนี้บีบบังคับให้พระ
ให้วัดต้องมีการพัฒนาตนเองตามหลักพระธรรมวินัยอยู่เสมอ ๆ
เหมือนกับโรงเรียนต่าง ๆ ถ้ามีการพัฒนาการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้ประโยชน์เต็มที่
ก็จะมีผู้ปกครองส่งลูกหลานมาเรียน แต่ถ้าโรงเรียนใดสอนไม่ดี
พวกเขารู้สึกว่า ไม่คุ้มค่าที่จะส่งลูกหลานมาเรียน โรงเรียนนั้นก็เตรียมปิดกิจการได้เลย
#หลวงพี่คิดว่า พระพุทธศาสนา/พระภิกษุ มีความจำเป็นในการปรับตัว
เพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ส่วนรวม อย่างไรไหมคะ ?
ในมุมมองของหลวงพี่นะ หลวงพี่คิดว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก
คือ ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา นั่นก็หมายความว่า
คำสอนของพระพุทธองค์ ดีเยี่ยมอย่างไรในสมัยพุทธกาล
ในยุคปัจจุบันก็ยังคงดีเยี่ยมอยู่อย่างนั้นแหละ
เพียงแต่ว่าชาวพุทธ คือ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้มากน้อยเพียงใดต่างหาก
ไม่ใช่เรื่องของการที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่แต่อย่างใด
แต่เป็นเรื่องการปรับปรุงตัวเองให้ถูกต้อง ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ตามหลักพระธรรมวินัยที่มีมาแต่ดั้งเดิมนั่นแหละ
#โลก ณ วันนี้ เป็นโลกแห่งเทคโนโลยีในทุกด้าน หลวงพี่คิดว่า
พระพุทธศาสนา ควรนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้เพื่องานสอนศีลธรรม
หรือไม่/อย่างไร คะ?
หรือไม่/อย่างไร คะ?
หลวงพี่คิดว่า เทคโนโลยีเป็นของกลาง ๆ จะใช้ในทางที่ดีหรือไม่นั้น
ก็ขึ้นอยู่กับคนใช้งาน
ก็ขึ้นอยู่กับคนใช้งาน
อย่างที่เราเห็นกันทั่วไป ถ้าเด็กนักเรียนใช้ tablet เพื่อการเรียน การค้นคว้าหาความรู้
อย่างนี้ เทคโนโลยีก็เป็นคุณประโยชน์ แต่ถ้าเอาไปเล่นเกม
อย่างนี้ เทคโนโลยีก็ให้โทษ ไม่สมควรใช้
ในส่วนของพระพุทธศาสนาเองก็เช่นกัน
ถ้าถามว่า ควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่องานสอนศีลธรรมไหม
หลวงพี่กลับมองไปที่ตัวผู้ใช้งานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร
หรือแม้แต่ญาติโยมก็ตาม ว่าสามารถที่จะใช้มันได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่
ถ้าควบคุมให้ใช้ในทางที่ถูกต้องเหมาะสมได้
สามารถควบคุมกิริยาอาการให้ดูสำรวมขณะใช้งานได้ อย่างนี้ก็ควรนำมาใช้
แต่ถ้าไม่ได้ ก็ยังไม่สมควรใช้ เหมือนกับพ่อแม่จะให้ลูกใช้ smart phone ก็ต้องดูก่อนว่า
ลูกสามารถที่จะควบคุมตัวเองให้ใช้เฉพาะในทางที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ได้หรือไม่
ความไม่เข้าใจ ความไม่ศรัทธาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลวงพี่คิดว่าเป็นเพียงส่วนน้อย
ที่อาจพบเห็นพระภิกษุสามเณรใช้งานเทคโนโลยีไปในทางที่ไม่สมควร
หรือมีกิริยาอาการที่ไม่สำรวมขณะใช้งาน มากกว่าที่จะมองในมุมว่า
พระใช้เทคโนโลยีแล้วดูไม่สมถะ หลวงพี่คิดว่า...
ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้งานสิ่งเหล่านี้ในโลกยุคปัจจุบันนะ
ในพระพุทธศาสนา ท่านมีศัพท์อยู่คำหนึ่งว่า โลกวัชชะ แปลว่า ชาวโลกติเตียน
คือ พระสงฆ์องค์เณรจะทำอะไรลงไป นอกจากจะยึดพระธรรมวินัยแล้ว
ยังต้องดูให้เหมาะสมกับสภาพสังคมแวดล้อมด้วย
ดูว่าชาวบ้านเขาจะยอมรับความประพฤตินั้นๆ ได้ไหม เขาจะติเตียนหรือไม่
เพราะถ้าเขารับไม่ได้ เขาก็จะไม่ทำบุญตักบาตร พระเณรก็จะอยู่ไม่ได้เอง
ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ใช้เทคโนโลยีแต่ละท่านแล้ว
ที่จะต้องตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีให้ถูกต้องเหมาะสมกับกาลเทศะ
บริบทแวดล้อมทางสังคม ฯลฯ ถ้าทำได้อย่างนี้
พระพุทธศาสนาจึงจะได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเต็มที่
#สมัยนี้,ผู้คนหันไปให้ค่านิยมทางวัตถุ ละเลยจิตใจ เมื่อชีวิตเป็นทุกข์ ก็หาทางออกไม่ถูก
เป็นผลทำให้หลงทำผิด หลวงพี่มีทัศนะอย่างไร กับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันในสภาวะดังกล่าวคะ ?
เป็นผลทำให้หลงทำผิด หลวงพี่มีทัศนะอย่างไร กับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันในสภาวะดังกล่าวคะ ?
เวลาหลวงพี่เทศน์สอนผู้ใหญ่ หรือเด็กโต ๆ อย่างนิสิตนักศึกษา
หลวงพี่มักจะให้ข้อคิดไว้ ๓ เรื่อง แล้วให้เขาสรุปประมวลผลเอง คือ
๑. ในโลกใบนี้ อะไรมีมากกว่ากัน ระหว่างสัตว์ หรือคน
แน่นอนว่า คำตอบก็คือสัตว์ ดูง่าย ๆ ที่บ้านเรือนแต่ละหลัง สัตว์เลี้ยงที่น่ารัก
ไม่ว่าจะเป็นยุง มด แมลงวัน แมลงสาบ จิ้งจก ฯลฯ มากกว่าผู้คนในบ้านหลายเท่านัก
นี้ยังไม่นับรวมสัตว์ในทะเล ในป่าเขาอีกมากมาย สรุปแล้ว สัตว์มีมากกว่าคน
๒. ชีวิตมนุษย์เรามีการเวียนว่ายตายเกิดนะ
ในปัจจุบัน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
เนื่องจากมีงานวิจัยเกี่ยวกับการระลึกชาติ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ฯลฯ
ทำให้ยากที่จะปฏิเสธการกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์
ซึ่งยังไม่สามารถพิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ก็ตาม
แต่ก็ยอมรับเรื่องการเกิดใหม่ในโลกใบนี้กันแล้ว
๓. ทบทวนวิชาความน่าจะเป็น (probability) ที่เคยเรียนกันมาสักหน่อยหนึ่ง
หลวงพี่จะสมมติว่า ถ้าเราตายไป เรื่องนรก สวรรค์ให้พักไว้ก่อน
ให้ทุกคนได้กลับมาเกิดใหม่บนโลกใบนี้ทั้งหมด (ตามข้อ ๒)
ว่าโดยความน่าจะเป็นแล้ว ท่านจะได้กลับมาเกิดเป็นอะไร คนหรือสัตว์
หลวงพี่คิดว่า ถ้าตอบโดยไม่โกหกตัวเอง
ก็น่าจะพอทำให้ฉุกคิดที่จะศึกษาพระพุทธศาสนากันได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะ
--------------------
หลวงพี่ท่านอธิบายเรียบง่ายชัดเจนดีมากๆ,
admin คงไม่ต้องสรุปอะไรอีกแล้วนะคะ ^^
พรุ่งนี้, ตื่นเช้าตักบาตรกันค่ะ^^
8 ธันวาคม 2559
บัว อรุโณทัย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น